อาคารเรียน - อาคารเรียน นิยาย อาคารเรียน : Dek-D.com - Writer

    อาคารเรียน

    เรื่องสั้นเรื่องแรกที่แต่งค่ะ งานส่งครู อิอิ แต่ เพื่อนบอกว่้าสนุกมากก เลยลองเอามาลงดูค่ะ ติชมให้ด้วยนะคะ

    ผู้เข้าชมรวม

    280

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    280

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  6 ก.ย. 53 / 20:31 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                  เสียงอึงอื้อดังก้องหูเช่นเดียวกับทุกเช้าที่เดินเข้ามาในห้องเรียน คนเรามีเรื่องให้คุยกันเยอะจริงๆ ขนาดเรื่องเล็กน้อยๆยังคุยกันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย มันดังมากเสียจนผมรู้สึกรำคาญ  จนกระทั่งเจ้านพวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในห้อง พร้อมกับข่าวที่ดึงความสนใจของคนทั้งห้องรวมทั้งผมได้ในพริบตา

                  “ได้ยินข่าวโรงเรียนเรามีผีรึเปล่า” ผู้สื่อข่าวประจำห้องที่ขึ้นชื่อว่ารู้เร็วกว่าคนอื่นในโรงเรียน กำลังทำหน้าตื่นตกใจ พร้อมด้วยเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มหน้า ทำให้พอจะเดาออกว่าข่าวนี้ใหม่และสดมากแค่ไหน

                  “เมื่อคืนมีรุ่นพี่คนหนึ่งขึ้นไปเอาของที่ลืมไว้ตอนเที่ยงคืน แล้วเจอผีผู้หญิงผมยาวหลอกเอาเสียหัวโกร๋นเลย ตอนนี้นอนไม่ได้สติอยู่โรงบาลเชียวนะ” เสียงฮือฮาดังขึ้นทันทีที่นพหยุดพูด จากนั้นเสียงคุยที่ดังอยู่แล้วก็ยิ่งเพิ่มเดซิเบลเข้าไปอีก จนผมต้องเอามือมาปิดหู ทำหน้าบึ้งตึงทำหน้าบึ้งตึงด้วยความรำคาญสุดทน

                  “โอ๊ย..!! หนวกหูจริงๆเลย! ไอ้นพครับ แกรู้ได้ไงว่ามันเป็นผีผู้หญิงผมยาว” ในที่สุดความอดทนก็ขาดผึง ผมถูกจัดอยู่ในหมวดเด็กเรียนสุดเงียบอันดับหนึ่งของห้อง นั่นทำให้คำพูดของผมสะกดเพื่อนทั้งห้องให้เงียบลง พร้อมหันไปหาผู้สื่อข่าวทันที

                  “เอ้อ...ก็พี่เค้าเล่าให้คนอื่นฟัง แล้วข้าก็ไปได้ยินมานี่หว่า”

                  “แล้วไหนแกบอกว่า พี่เค้านอนไม่ได้สติอยู่โรงบาล” ผมยิงท่าไม้ตายใส่ทันที

                  “ก็...ก็...ก็.... เฮ้ย! เดี๋ยวสิ ทุกคน ฉันไม่ได้โม้นะ” กลุ่มเพื่อนที่เคยมุงไอ้นพสลายหายทันที มันหันหน้ามามองผมอย่างหัวเสีย ผมก็ได้แต่มองมันกลับโดยไม่พูดอะไร “กรรมตามมึงทันแน่นอน” คำส่งท้ายที่มันพูดไว้กับผม

                  ฟิ้ววว......

      ลมเย็นพัดผ่าน จนขนผมลุกเกรียวไปทั้งตัว เมื่อสมองหวนกลับไปรำลึกเรื่องบ้าๆที่เจอเมื่อเช้า แกนี่แช่งคนเก่งเป็นบ้าเลยแฮะ เพราะข้าพเจ้าดันลืมสมุดสำคัญไว้ใต้โต๊ะเรียน และบ้าดีเดือดกลับมาเอาตอนเที่ยงคืน

      ทั้งๆที่พยายามเดินอย่างเบาที่สุดแล้ว แต่เสียงฝีเท้ามันก็ดังก้องไปทั่วตึกเรียน แสงไฟถนนจากด้านนอกส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา ให้พอเห็นระเบียงเป็นทางยาว และที่ปลายทางนั้น มีใครบางคนยืนอยู่ด้วย เอ๋...มีคนมาเอาของนอกจากเราด้วยหรือเนี่ย ผมเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหาร่างนั้น หรี่ตาเพื่อพยายามปรับแสง ให้เห็นชัดๆ

      ผมรู้สึกอยากกลับไปกราบขอโทษไอ้นพมันจริงๆ หลังจากที่เห็นว่าร่างนั้นเป็นอะไร ร่างกายผมมันแข็งทื่อไปหมด อยากจะวิ่งไปจากตรงนั้นแต่ขาก็ก้าวไม่ออก ยิ่งเมื่อร่างนั้นหันหน้ามา ผมก็รู้สึกเหมือนมีไฟฟ้าไหลไปทั่วร่าง ดวงตาผมเบิกโพลงด้วยความกลัวเมื่อเห็นดวงตาของเธอ มันเป็นสีแดงสดราวกับชโลมเลือดเอาไว้ เธอกำลังจ้องเขม็งมาทางผมเช่นกัน ในวินาทีที่รู้ว่าถูกเพ่งเล็งแล้ว ขาของผมก็ทำงานโดยอัตโนมัติ ผมกลับหลังวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต ร่างกายมันควบคุมยากเหลือเกิน รู้สึกเหมือนจะเซล้มอยู่ตลอดเวลา ราวกับเท้ามันไม่ติดพื้น แต่ผมกลับไม่คิดที่จะหยุด ไม่คิดแม้แต่จะหันกลับไปมอง

      “เฮ้ย!!” ผมตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง เมื่อผมพบว่าเธอคนนั้น ยืนอยู่ข้างหน้าผมเสียแล้ว เธอก้าวเข้ามาหาผม ในจังหวะเดียวกับที่ผมก้าวถอยหนีจนล้มลง ไม่ไหวแล้ว...ผมไม่มีแรงแม้แต่จะขยับหนี เธอเดินใกล้เข้ามาทุกที ผมหลับตาลงปี๋ พยายามปลงกับร่างที่สั่นสะท้านราวกับเจ้าเข้า เวลาผ่านไปช้าเหลือเกิน ผมอยากร้องไห้

      “ฮือ....ฮือ...ฮึก...ฮึก” ผมร้องไห้ออกมาอย่างอ่อนแรง เอ๊ะ...ไม่สิ ไม่ใช่เสียงผมนี่ นี่ผมกลัวจนเส้นเสียงหดได้ถึงขนาดนั้นเลยหรอ ผมค่อยๆเปิดตาออก และพบเธอคนนั้น นั่งร้องไห้อยู่ห่างจากผมเพียงหนึ่งฟุต ผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว ในช่วงเวลาสั้นๆนี้ ผมสังเกตเห็นว่าเธอเป็นผีผู้หญิงผมยาวจริงๆ เพียงแต่เธอเป็นเด็กผู้หญิง อายุราวๆพวกผมรึไม่ก็อ่อนกว่า เธอใส่ชุดสีขาวหม่น ผมสีดำยาวถึงกลางหลัง เธอนั่งคุกเข่าก้มหน้าแล้วเอามือปิดตาไว้ กำลังกระตุกอย่างสะอึกสะอื้น อย่ากับโดนผีหลอกมา เอ๊ะ...รึว่าผมจะเป็นผีซะเองล่ะเนี่ย

      “เอ้อ...เธอ...เอ่อ...ขอโทษนะ เรานึกว่าเธอเป็นผีแหนะ ฮะๆๆ” ปากเจ้ากรรมของผมทักไปแบบไม่ระวัง เธอเงยหน้าขึ้นมามองผม และนั่นทำให้ผมกระเด้งถอยหลังไปเลย แม่เจ้า...เธอไม่ใช่คนล้านเปอร์เซ็นต์ครับ ตาเธอสีแดงแจ๋อย่างกับเลือด ดูเหมือนผมจะเริ่มชินกับของแบบนี้ซะแล้ว อาจเพราะดวงตานั้นช่างไร้ซึ่งความน่ากลัว กลับเต็มไปด้วยความเศร้า และน้ำตาที่เจ่อนอง จนผมรู้สึกจี๊ดๆในใจว่า ตูต้องไปทำอะไรไว้แน่เลย

      “เอ่อ...คือว่า...เราขอโทษ...เอ่อ...คือ...” ผมพูดติดขัดราวกับมีภูเขามาจุกทีคอ

      “ขะ...ขอโทษค่ะ คือฉันอยากจะคุยด้วย ก็เลยตามมาค่ะ ขอโทษจริงๆนะคะ ” เธอเอามือปาดน้ำตาที่แก้ม แต่เหมือนมันจะไม่ยอมหยุดไหล จนพอจะดูออกว่าเธอเหงามากแค่ไหน

      “ให้ผมช่วยอะไรได้ไหม” ผมเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา แล้วยื่นให้กับเธอ สาวน้อยเหลือบตาขึ้นมามองมัน ตาของเธอแดงก่ำยิ่งกว่าเดิมหลังร้องไห้ ก่อนจะยื่นมือออกมา

      “ไม่...ฉันทำไม่ได้ ฉันไม่อยากเห็นใครเป็นแบบนั้นอีกแล้ว” เธอชักมือกลับแล้วเริ่มร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม

      “หนีไปซะ หนีไป!! นี่เป็นกับดัก ฉันเป็นเพียงแค่เหยื่อล่อ พวกเขาจะฆ่าคุณ” เธอหันกลับมาตะคอกใส่ผมอย่างสุดเสียง ก่อนที่จะดึงให้ผมลุกขึ้น ในตอนนั้นเอง ขาของผมก็มีแรงขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ สาวน้อยตัวนิดเดียวลากผมให้วิ่งไปตามระเบียงอย่างรวดเร็ว ภาพของผนังห้องเรียนที่อยู่ข้างๆเริ่มบิดเบือน กลายเป็นควันสีดำขนาดใหญ่ เสียงกรีดร้องของเหล่าวิญญาณที่หิวกระหาย มันดังยิ่งกว่าเสียงคุยของเพื่อนในห้องร้อยเท่า

      “นี่มันอะไรกันเนี่ย” ผมถามด้วยความฉงนสุดขีด

      “พวกนั้นคือสัมภเวสี วิญญาณเร่ร่อนที่กระหายชีวิตมนุษย์” เธอหันมาตอบ

      “แต่ผมเคยได้ยินว่าสัมภเวสีแค่มาขอส่วนบุญไม่ใช่หรือ”

      “นั่นก็ใช่ค่ะ แต่ที่นี่มีวิญญาณเร่ร่อนเป็นร้อยเป็นพัน พวกมันคงติดใจรสชาติของวิญญาณมนุษย์ ถ้าคุณไม่รีบออกไป คุณก็จะเป็นแบบรุ่นพี่คนนั้นค่ะ อีกไม่นาน เค้าก็จะตาย”

      เธอพูดเสียผมกลืนน้ำลายไม่ลง เพราะรอบตัวตอนนี้ น่ากลัวและสยดสยองกว่าตอนที่ผมพบเธอหลายเท่า แต่...เธอมาช่วยผม มันไม่เท่ากับเธอทรยศพวกนี้หรอกหรือ ผมกุมมือเธอแน่น เธอหันหน้ามามองผมอย่างประหลาดใจ ก่อนที่เงาดำเหล่านั้นจะฟาดเข้าที่ตัวเธออย่างจัง จนเรากระเด็นกันไปคนละทาง

      “โอย...” ผมลุกขึ้นมาช้าๆ แต่ขาเจ็บระบมและท้องก็จุกแบบสุดๆ ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร เงาดำพวกนั้นก็พร้อมใจกันวิ่งกรูเข้าหาผม ผมพยายามจะยันตัวลุกขึ้น พวกมันก็เข้ามาเร็วมาก แต่เด็กสาวคนนั้นก็วิ่งตัดหน้าและคว้าแขนของผม ลากตัวชายหนุ่มที่สะบักสบอมให้วิ่งต่อไป ด้านหลังพวกเรา เงาดำนั่นตามมาอย่างติดๆ ไม่มีเวลาให้หยุดคิดกันเลย

      “ถึงทางออกแล้วค่ะ เมื่อคุณออกไปแล้ว ช่วยวิ่งออกไปให้ไกลจากที่นี่นะคะ”

      “เดี๋ยว แล้วเธอล่ะ... ” เธอเงียบไป ราวกับว่าเธอก็อยากจะไปด้วยกัน ถ้าพวกนั้นคือวิญญาณเร่ร่อนที่หิวกระหาย เธอเองก็คงไม่ต่างกับพวกนั้นเลย แต่เพราะเธอมีหน้าตาแบบนี้ เธอจึงอยู่ในตำแหน่งของเหยื่อล่อ และนั่นคงทำให้เธอรู้สึกผิดมาก

      “อย่างน้อย... ขอให้ผมรู้ชื่อเธอก็ยังดี”

      “คุณน่ะ...กลัวฉันรึเปล่า” เธอหันมาตอบอย่างเงียบๆ

      “กลัวสิ ผมกลัวผีมาก แต่ผมไม่กลัวเพื่อนของผมหรอก ถึงเค้าจะเป็นผีหรือไม่ก็ตาม”

      สิ้นเสียงพุดตอบ เธอเหวี่ยงผมไปข้างหน้าอย่างแรง แต่ผมจับมือของเธอไว้แน่น เงาดำพวกนั้นอยู่ห่างพวกเราเพียงเอื้อม ราวกับมีแรงมหาศาลพยายามผลักผมออกจากเธอ จนมือผมเริ่มอ่อนล้า แรงดันมากเสียจนหายใจไม่ออก เธอมองผมด้วยดวงตาที่เอ่อไปด้วยน้ำ ก่อนจะสะบัดมืออย่างแรง จนผมหลุดกระเด็นออกจากเธอ ภาพสุดท้ายที่ผมเห็น คือเด็กสาวคนนั้น ถูกกลืนไปกับเงาดำ ราวกับพวกมันกำลังกัดกินเธอ เธอยิ้มให้ผม ทั้งน้ำตา ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างที่ผมฟังไม่ออก แต่ผมอ่านปากได้เป็นคำว่า

       

      ขอบคุณนะ

       

                  “เฮ้ย...พวกเรา เจ้าพ่อตำราเรียนเรามีความรักเว้ย ดูสิ นี่สาวซื้อให้นะเว้ย” เจ้านพแซวอย่างออกรส พร้อมจับพวงกุญแจของผมโชว์ไปทั่วห้อง เรื่องนี้คงดังพอๆกับน้ำท่วมโลก

                  “เฮ้ย...ไอ้นพ บอกแล้วไงว่าเราไม่ได้มีกิ๊ก” ผมคว้ามันมาก่อนที่ผมจะโด่งดังไปมากกว่านี้ จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงแซวจากทุกสารทิศ นี่พวกแกเป็นลำโพงสามมิติรึไง

                  “นี่ๆ บนนั้นเขียนว่าไงหรอ” เด็กสาวคนหนึ่งชี้ไปที่พวงกุญแจของผม

                  “เอ้อ...ไม่มีอะไรหรอก พอดีแม่ซื้อให้น่ะ มันสวยดีเลยเอามาห้อยกระเป๋า” เธอพยักหน้าอย่างว่าง่าย ไม่รู้เพราะอะไรหรอกนะ แต่ก็ไม่ข่าวเรื่องผีหลอกมาให้เห็นกันอีกเลย รุ่นพี่คนนั้น สุดท้ายก็เสียจริงๆ โดยหมอลงความเห็นว่าหัวใจวาย ถ้าเธอไม่ช่วยผมไว้ ผมเองก็คงโดนไม่ต่าง

                  ออดคาบพักกลางวันดังขึ้น ผมเอากระเป๋าวางไว้ใต้โต๊ะ เอามือไปจับพวงกุญแจไม้ที่สลักคำเป็นภาษาอังกฤษเอาไว้ ก่อนจะยิ้มออกมาคนเดียว และเดินออกจากห้องไป

      Be Right Back


      จินตเมธร

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×